จากกิจกรรมสนทนากลุ่ม พบว่า
การตายของชายไทแสก
แบ่งออกเป็น 2 กรณี
คือ
1. ป่วยตายจะนำศพไปไว้ที่บนบ้าน
2.
อุบัติเหตุตายจะไม่นำศพไปไว้บนบ้าน
เพราะชายไทแสกมีความเชื่อว่าผีจะเกรงจากการสัมภาษณ์ในงานศพชาวไทแสกบ้านอาจ
สามารถ
จะไม่บอกให้ชาวบ้านทราบ
นอกจากจะรู้เองแล้วมาช่วยงาน
งานที่ร่วมกันปฏิบัติในเบื้องต้นของงานศพก็คือ
กลุ่มญาติใกล้ชิดจะแต่งตัวให้ศพ
เอาเงินใส่ปากเพราะเชื่อว่าเป็นการจ้างไม่ให้พูดหรือบ้างก็เชื่อว่าเป็นการ
นำทรัพย์สินไปใช้
ในภายภาคหน้า บางกลุ่มจะทำความสะอาดบ้านและบริเวณบ้าน
บางกลุ่มจะเตรียมน้ำใช้
บางกลุ่มก็นำไม้มาทำบ้าน ทำหอ ทำโลงศพและบางกลุ่มจะเตรียมอาหาร
เพื่อให้แขกที่มาช่วยในงานรับประทาน
ทุกคนที่มาช่วยงานต่างมีความตั้งใจในการช่วยงาน
แล้วจัดสำรับกับข้าวไว้ใกล้โลงศพ เพื่อให้คนตายได้กินด้วย
ส่วนอาหารที่ทำในงานศพไม่ให้ทำขนมจีน แกงวุ้นเส้นหรืออะไรที่เป็นเส้นยาว ๆ
เพราะมีความเชื่อว่ามิให้มีความสัมพันธ์กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่
และเชื่อว่าการตายจะเกิดขึ้นอีกไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่องานทุกอย่างใกล้เสร็จเจ้าภาพจะนิมนต์ระสงฆ์มาสวดมนต์ที่บ้าน
เพื่อให้เป็นกุศลแก่ผู้ตาย ในงานศพบ้านอาจสามารถส่วนใหญ่จะเอาศพไว้ 1
วัน หรือ
2 วัน ทั้งนี้แล้วแต่เจ้าภาพ
เมื่อเก็บศพไว้ตามสมควรแล้วนำศพไปป่าช้าเพื่อทำพิธีเผา
เชื่อกันว่าไม่ให้เผาศพวันอังคาร
และวันพระ
พิธีกรรมเมื่อศพอยู่บนเมรุเรียบร้อยแล้ว
ก็จะเปิดศพทำพิธีโดยการล้างหน้าศพด้วยน้ำมะพร้าว
คนที่ไปล้างหน้าผู้ตายส่วนใหญ่จะเป็นญาติผู้ใกล้ชิดหรือเพื่อนที่รู้จักกับ
ผู้ตาย เมื่อล้างหน้าศพเรียบร้อยแล้วก็จะปิดโลงศพ และทำพิธีถวายทาน
ชักผ้าบังสุกุล
ถวายผ้าบังสุกุลพระผู้รับและผู้ถวายจะลำดับความอาวุโสจากผู้ใหญ่จนถึง
ผู้น้อย
เสร็จแล้วก็จะถวายปัจจัยรวมของผู้บวชหน้าศพทั้งสามเณรและชีพราหมณ์
(บทสรุปจากกิจกรรมสนทนากลุ่ม : 29 มิถุนายน 2548)
ในงานพิธีเผาศพจะมีการละเล่นอย่างหนึ่ง คือ “ขึ้นบั้ง”
เป็นการละเล่นเกมส์สนุก ๆ ในหมู่ผู้อาวุโส
หรือแม้คนหนุ่มก็แสดงได้เช่นเดียวกัน
(หมายถึงผู้ที่ได้ร่ำเรียนวิชาอาคมมาแล้วเท่านั้น) การเล่นขึ้นบั้ง จะใช้ผู้เล่น
3 คน หรืออาจจะมากกว่านี้ก็ได้
หากมีคนที่สงสัยจะขอเล่นร่วมวงด้วยในภายหลัง
เขาก็ไม่ขัดข้องเรียกว่าเป็นการร่วมออกกำลังกายทางหนึ่งก็ยังได้
อุปกรณ์การเล่นก็จะหาจากงานศพนั่นเอง
แรกเริ่มทีเดียวจะต้องหาไม้ไผ่สดที่ปล้องยาวและใหญ่ไล่เลี่ยกับโคนขายาว 2
ปล้อง ตัดให้เรียบแล้วทะลวงให้กลวงเพียงด้านเดียว เมื่อได้ไม้ไผ่แล้ว ผู้เล่นจะหยิบเอาถ่านจากที่เผาศพมาอีกจำนวน 7
ก้อน (ถ่านที่ดับแล้ว) จากนั้นให้ คนสองคนจับปล้องไม้ไผ่ไว้คนละด้าน โดยหันทางที่กลวงขึ้นบนในแนวดิ่ง 90
องศา
ส่วนผู้เล่นอีกคนหนึ่งจะยืนอยู่ใกล้
ๆ และเริ่มบริกรรมคาถา
เป็นภาษาแสกเสียงพึมพำ
โดยส่วนมากจะเป็นผู้อยู่ในวัยอาวุโส
ส่วนสองคนที่จับปล้องไม้ไผ่จะใช้คนหนุ่ม ๆ ก็ได้
พอบริกรรมคาถาได้สักครู่เขาจะหยิบเอาถ่านไฟที่หยิบออกมาจากเตาเผาศพ
หยิบลงไปในปล้องไม้ไผ่ด้านบนที่ทะลวงให้กลวงทีละก้อน
ถ่านไฟนั้นค้างอยู่ในปล้องไม้ไผ่นั้นเอง
ซึ่งในขณะที่แสดงปล้องไม้ไผ่ที่สองคนจับอยู่
ด้านล่างจะอยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 2
ฟุต
ทันใสปล้องไม้ไผ่ปล้องนั้นจะมีพลังเหมือนมีอะไรเข้าไปอยู่ข้างใน
และพยายามจะพุ่งขึ้นมาด้านบน คนสองคนที่จับไว้จะต้องคอยดึงเอาไว้ให้อยู่
คือ
พยายามกดลงดิน
ต่อให้ออกแรงจนสุดแรงเกิดก็กดเอาไว้ไม่อยู่
บางรายจนเท้าลอยขึ้นไปพ้นดินสูงขึ้นเป็นคืบเป็นศอกไปทีเดียว
เมื่อสองคนกดพยายามกดปล้องไม้ไผ่ใกล้ถึงดินแต่จากการบริกรรมคาถาของผู้แสดง
รายแรก แล้วหยอดถ่านไฟลงไปในปล้องไม้ไผ่อีกปล้อง ไม้ไผ่ก็ลอยขึ้นอีก
คนเล่นข้างเคียงที่มองดูแล้วไม่เชื่อจะเข้าร่วมวงเล่นด้วยก็ได้
ถึงจะกดอย่างไรปล้องไม้ไผ่ก็จะพุ่งขึ้นท่าเดียว
บางคนสู้แรงปล้องไม้ไผ่ไม่ไหวก็ขอเลิกล่น
การละเล่นนี้ผู้เล่นจะเหนื่อยมากในที่สุดก็จะขอเลิกเอาดื้อ ๆ
เพราะเหนื่อย คนที่ไม่เหนื่อย คือ
คนที่บริกรรมคาถานั่นเอง
มีอยู่บางครั้งผู้บริกรรมคาถาว่าอยู่นาน
แต่ปล้องไม้ไผ่ไม่ขยับเขยื้อนอย่างนี้ต้องเปลี่ยนคนว่าคาถาใหม่
ส่วนคนภายนอกผู้เห็นเหตุการณ์ที่ขอเข้าไปเล่นด้วย
เพื่ออยากพิสูจน์ยิ่งเข้าไปกดกระบอกไม้ไผ่สองปล้อง
ยิ่งมีแรงต้านหนักขึ้นจนต้องยอมดังกล่าว
มีบางรายเอามือไปปิดด้านบนกระบอกไม้ไผ่
ปรากฏว่ากระบอกไม้ไผ่จะหยุดดิ้นและตกลงพื้นดินทันที
เมื่อเล่นบั้นขึ้นจบก็เรียนเชิญแขกทุกท่านได้วางธูปเทียนซึ่งเจ้าภาพได้แจก
ไว้ก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อดูว่าทุกคนวางธูปเทียนเสร็จแล้ว
เจ้าภาพก็จุดไฟ แล้วนิมนต์พระรูปที่อาวุโสที่สุด จุไฟเผาศพให้ก่อน
หลังจากนั้นคนใกล้ชิดก็จะนำไฟที่เตรียมไว้แล้วเริ่มเผา
ไฟก็จะลุกไหม้อย่างรวดเร็วเพราะมีน้ำมันราดด้วย
ตอนนี้เจ้าภาพก็จะให้ทานทำบุญเป็นครั้งสุดท้ายในพิธีเผาศพ ก็คือ
หว่านขนม เงินเหรียญหน้าไฟ
แขกที่ไปในงานทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็แย่งกันเก็บขนม เก็บเงินเหรียญ
ตอนนี้ดูเหมือนจะสนุกพอสมควร
หลังจากการแย่งกันไประยะหนึ่งสิ่งของเหล่านั้นหมด
ทุกคนก็มาเริ่มหยุดสงบอีกครั้ง เพื่อให้พระสงฆ์กลับ
ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็กลับ จะมีบางกลุ่มที่รอดูการเผาไหม้หน้าศพ
จึงถือว่าเสร็จการเผาศพ หลังจากนั้น
3 วัน ก็ทำบุญแจกข้าว ทำปราสาทโดยใช้กาบกล้วย ข้างในใช้ไม้ทำโครง
ใส่สมุดดินสอโดยปักไว้ที่ตัวปราสาทจนถึงยอดปราสาทหลังจากนั้นนำไปถวายพระ
ชาวไทแสกมีความเชื่อว่า เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ตาย (ประสิทธิ์
ทักษิณ,
2548 : สัมภาษณ์)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น